ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

“วัคซีน” กุญแจอันทรงค่าเพื่อชีวิตที่ยืนยาวของประชาชน

วันที่ลงข่าว: 30/05/16

         

การสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วยวัคซีนเป็นวิธีการหนึ่งที่ดีทีสุดในการป้องกันโรค เป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลสุขภาพ คำกล่าวนี้คงไม่ผิดจากความจริงนัก เพราะไม่เพียงช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อต่างๆ แล้ว วัคซีนยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ เปรียบเสมือนกุญแจอันทรงค่าเพื่อชีวิตที่ยืนยาวของประชาชนทุกคนวัคซีนสามารถป้องกันการเสียชีวิตของคนทั่วโลกได้ถึงปีละ 3 ล้าน และสามารถป้องกันความพิการของเด็กได้ถึงปีละไม่น้อยกว่า 750,000 คน

           

เนื่องจากวัคซีนสามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิผลจึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้ การที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสุขภาพดีรวมถึงการมีสติปัญญาดีจากการไม่ป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ย่อมส่งผลให้ประสิทธิภาพของการทำงานดี สามารถสร้างความเข้มแข็งและความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้

           

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ น.พ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ร่วมประชุมกับคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติปรึกษาหารือและติดตามความก้าวหน้าในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคและการนำวัคซีนใหม่มาใช้ในประเทศไทยที่ประชุมมีมติเห็นชอบและแนะนำให้นำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (วัคซีนเอชพีวี) มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโดยเร็ว เนื่องจากเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง สอดคล้องกับผลการศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่พบว่าได้รับการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี มีความครอบคลุมการได้รับวัคซีนของกลุ่มเป้าหมายในเกณฑ์ดี ไม่มีอาการภายหลังได้รับวัคซีนที่รุนแรงและไม่ส่งผลกระทบต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในพื้นที่

           

ขณะนี้ สปสช.ได้จัดทำคำของบประมาณปี 2560 เพื่อรองรับการให้บริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (วัคซีนเอชพีวี) เบื้องต้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาทหากการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามแผนงาน คาดว่าจะนำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก มาใช้ทั่วประเทศในระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งราคาต้นทุนต่อเข็มจะอยู่ที่ไม่เกิน 300 บาท 2 เข็มก็ไม่เกิน 600 บาท เทียบกับการรับบริการจากภาคเอกชนจะอยู่ที่เข็มละ 4,000 บาท 2 เข็ม ก็ประมาณ 8,000 บาท แต่ที่สำคัญ จะช่วยประหยัดงบประมาณในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกซึ่งจะตกประมาณ 350 ล้านบาทต่อปี ซึ่งโรคนี้มีแนวโน้มการเสียชีวิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และยังทำให้ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมานจากโรค หรือจากการบำบัดรักษาด้วย

           

ในขณะที่การผลักดัน พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ใกล้สำเร็จ การทำประชาพิจารณ์ผ่านความเห็นชอบแล้ว รอเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา หากไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ คาดว่าไม่เกินสิ้นปี พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ได้ทันที

           

ดร.นพ.จรุง เมืองชนะ ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้เหตุผลว่า ความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องมีการจัดทำพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติเนื่องจากที่ผ่านมากลไกการบริหารจัดการงานด้านวัคซีนของประเทศ ยังขาดความเป็นเอกภาพด้านนโยบาย และการบูรณาการด้านวัคซีนยังขาดความต่อเนื่อง ทำให้การดำเนินงานตามแผนงานหรือตามการกำหนดของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติระดับนโยบายและระดับปฏิบัติมีปัญหา เพราะกฎหมายในระดับกฤษฎีกายังไม่สามารถให้อำนาจแก่กรรมการที่จะออกระเบียบสนับสนุนการดำเนินงานได้อย่างราบรื่น หลายหน่วยงานจึงกังวลต่อการตัดสินใจที่จะดำเนินงานด้านวัคซีนเพราะกลัวจะผิดกฎหมาย เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความมั่นคงและการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนของประเทศ และทำให้การสร้างเครือข่ายด้านวัคซีนและการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

           

โดยเมื่อปลายมีนาคม 2559 สถาบันวัคซีนฯ ได้มีการจัดสัมมนาประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความเห็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ฉบับนี้ จากประชาชนและผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานด้านวัคซีน ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและคณะกรรมการที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาหลายครั้งและได้มีการปรับแก้มาแล้ว ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วน ทั้งตัวแทนจากภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา กระทรวงต่างๆ ทางด้านอุตสาหกรรม สภาพัฒน์ รวมทั้ง NGO ซึ่งได้มีการแสดงความเห็นกันอย่างเต็มที่ รวมทั้งมีข้อกังวลว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเสนอกลไกหรือโครงสร้างอะไรที่เป็นความหวังของประเทศ เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศด้านการพัฒนาวัคซีนและเทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนการบริหารจัดการวัคซีนเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการป้องกันโรคด้วยวัคซีนที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยที่ทุกฝ่ายต่างเห็นด้วยร่วมกันว่าความมั่นคงด้านวัคซีนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ควรมีการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ออกมาให้ได้ เพื่อให้มีหลักในการกำหนดกลไกการบริการจัดการด้านวัคซีนของประเทศ ให้มีความเป็นเอกภาพ มีความต่อเนื่อง มีความมั่นคง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

           

เมื่อ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติมีผลบังคับใช้ จะมีการกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญในกฎหมายฉบับนี้ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองประธาน คนที่1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นรองประธานคนที่ 2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นรองประธานคนที่ 3 กรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 15 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ซึ่งสรรหาจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีผลงานและประสบการณ์ด้านการเงิน การคลัง การแพทย์ ด้านสาธารณสุข ด้านวัคซีน ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านเศรษฐศาสตร์ และด้านอุตสาหกรรม และมีผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติจะมีอำนาจในการออกนโยบายความมั่นคงด้านวัคซีน เช่น เสนอนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบ ออกระเบียบ และกำหนดหลักเกณฑ์ การให้ทุน การส่งเสริม การให้ความร่วมมือ หรือการสนับสนุนเกี่ยวกับวัคซีน ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้นโยบายเชิงรุกเพื่อการผลิตและจำหน่ายวัคซีนภายในประเทศหรือต่างประเทศ รวมทั้งเสนอแนวทางต่อคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดจากการดำเนินงานตานโยบายและแผนยุทธศาสตร์ เสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำ แก้ไขเพิ่มเติม หรือปรับปรุงกฎหมายเพื่อผลักดันการดำเนินงานด้านวัคซีน

           

สำหรับสถาบันวัคซีนฯ จะทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและดำเนินการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านวัคซีน เช่น จัดทำร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนผลักดันและดำเนินการวิจัย พัฒนาและผลิตวัคซีนให้มีคุณภาพและมีปริมาณเพียงพอ จัดให้มีทุนการวิจัยและทุนอุดหนุนเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการดังกล่าว บริหารจัดการความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร และจัดให้มีฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านวัคซีนของประเทศ และสนับสนุนการเพิ่มสมรรถนะในการเลือก การรับ และการถ่ายทอดวิทยาการและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมทั้งดำเนินการพัฒนาศักยภาพบุคคลด้านวัคซีนของประเทศอย่างต่อเนื่องตลอดจนจัดตั้งนิติบุคคลหรือเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสถาบันฯ โดยทำการวิจัยและการผลิตวัคซีน หรือการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีน สถาบันวัคซีนจะดำเนินการก็ต่อเมื่อหน่วยงานภาคเอกชน หรือหน่วยงานภาครัฐหน่วยอื่นไม่สนใจดำเนินการ หรือดำเนินการไม่มีประสิทธิภาพ หน้าที่เหล่านี้ส่วนมากจึงยังเป็นบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานในเครือข่ายวัคซีน

           

ที่สำคัญคือเรื่องความมั่นคงด้านวัคซีนที่ในกฎหมายฉบับนี้ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือมีเหตุจำเป็น เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อป้องกัน รักษา หรือลดความรุนแรงของโรค หรือเพิ่มความมั่นคงของประเทศ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติมีอำนาจประกาศกำหนดให้มีการผลิตวัคซีนส่งออกวัคซีนหรือกระจายไปยังผู้ที่จำเป็นต้องใช้วัคซีนนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว รวมทั้งมีบทลงโทษไว้ด้วยว่าหากหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายแล้วไม่ดำเนินการตามแผนต้องมีโทษ ทั้งโทษปรับและโทษจำคุก

ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์บ้านเมืองออนไลน์ วันที่ 28 พฤษภาคม 2559
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก