ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ขาหายไป แต่หัวใจยังอยู่ “ธันย์ ณิชชารีย์” ความคิดงามยามวิกฤต

วันที่ลงข่าว: 31/03/15
น้องธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์
     หากย้อนกลับไปเป็นเวลา 4 ปี หลายคนคงได้ทราบเรื่องราวที่เป็นข่าวใหญ่โตของเด็กหญิงวัย 14 ปีที่ต้องประสบกับอุบัติเหตุไม่คาดฝัน นั่นคือเหตุการณ์ที่เธอถูกรถไฟฟ้าที่สิงคโปร์ทับขาจนทำให้ต้องตัดขาทิ้งทั้งสองข้าง
 
 ถึงแม้จะผ่านเรื่องราวในวันนั้นมาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว แต่หากย้อนถามถึงเรื่องราวดังกล่าว เด็กหญิงในวันนั้นที่โตเป็นสาวแล้วในวันนี้ เธอกลับเล่าเรื่องราวในความทรงจำได้อย่างละเอียดนและไม่มีทีท่าว่าจะตะขิดตะขวงใจหรืออิดออดในการตอบคำถามเลยสักนิด แต่ก็เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยสายตาของคนผ่านพ้นความเจ็บปวดมาและอยู่ร่วมกับปัจจุบันได้อีกครั้ง
       
       “สิ่งที่เสียไป” มักจะมาพร้อมกับ “สิ่งที่ได้มา” จากวันนั้นถึงวันนี้ ชีวิตของเด็กหญิงที่สูญเสียขาจากเหตุการณ์รถไฟทับที่ประเทศสิงคโปร์ เธอไม่เคยหยุดนิ่ง และมุ่งหน้าทำสิ่งที่รักไม่ลดละ ทั้งงานพิธีกร วิทยากรพูดเกี่ยวกับด้านการคิดบวกให้แก่คนที่กำลังท้อแท้ เรียกได้ว่านอกจากจะผ่านพ้นด้วยตนเอง ยังช่วยเหลือสังคมได้อย่างเต็มตัว
       
       และนี่ก็คือเรื่องราวของเธอ...
       ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์
       ผู้ปรากฏตัวพร้อมกับวีลแชร์ที่เป็นพาหนะคู่กาย และรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า 
   • คนที่สูญเสียส่วนใหญ่จะมีอารมณ์เศร้าหรือเสียใจไม่รู้สิ้น แต่เท่าที่เราเห็น น้องธันย์เหมือนกับว่าจะก้าวผ่านจากจุดนั้นมาไกลแล้ว
       
       ธันย์ก็รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันนะคะ (หัวเราะ) คุณพ่อธันย์เคยบอกไว้เสมอว่าอะไรที่มันสูญเสียไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้หรือแก้ไขมันไม่ได้ เราก็ไม่ควรที่จะไปเสียเวลา ให้มองไปข้างหน้าดีกว่า ให้เราลองไปทำในสิ่งที่ดีกว่าหรือไปทำอะไรที่ดีเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับขาใหม่จะดีกว่า
       
       จริงๆ มันก็ต้องเลือกอวัยวะด้วยนะคะ เช่น อวัยวะแค่บางส่วนอย่างขาคือธันย์ยังโอเคยังรับได้แต่ถ้าเป็นอวัยวะอื่นๆ ที่ดูร้ายแรงมากๆ ธันย์อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ค่ะ แต่ในระดับการสูญเสียขา มันไม่ได้ทำให้ชีวิตธันย์ไม่สามารถทำอะไรไม่ได้เลย
       
       ตอนนี้อายุ 18 ปีแล้ว ธันย์ผ่านวันนั้นมาเป็นระยะเวลา 4 ปีแล้วค่ะ จริงๆ จะว่าไปแล้ว ธันย์ก็สามารถยิ้มแย้มให้กับเรื่องราวเหล่านั้นได้ตั้งแต่วันแรกที่ฟื้นขึ้นมาแล้วนะคะ ซึ่งเราก็ทำตัวปกติ และการที่เราเป็นแบบนั้น คนรอบข้างก็จะได้ไม่ต้องมาห่วงเรา
       
        • อยากให้ช่วยเล่าย้อนถึงเหตุการณ์นั้นให้ฟังหน่อยค่ะว่าเป็นอย่างไร
       
       ตอนนั้น ธันย์อายุ 14 ปี ไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ในช่วงซัมเมอร์เป็นเวลา 1 เดือน แล้วทีนี้ ช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนที่จะกลับเมืองไทย มันก็เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งขึ้น วันนั้นธันย์นัดกับเพื่อนเพื่อที่จะไปสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งเราต้องเดินทางจากบ้านด้วยรถไฟฟ้า ก่อนที่เราจะไปเจอเพื่อน เราก็ได้ขึ้นที่สถานีตรงชานชาลาที่เราพักอยู่ ซึ่งตอนนั้นธันย์ไปยืนอยู่บริเวณหลังเส้นสีเหลืองคนแรก เป็นประมาณที่ว่ารถไฟฟ้ากำลังจะเข้าชานชาลา ประจวบกับคนก็เริ่มดันเข้ามามากขึ้นเพื่อที่จะให้ตัวเองขึ้นรถได้เร็ว ก็เลยเป็นเหตุที่ทำให้เราตกลงไป แต่ว่าโชคร้ายตรงที่ว่าเราตกลงไปในลักษณะที่ขาเราเบี่ยงเป็นรูปตัวแอล แต่ส่วนอื่นไม่เป็นอะไรนะคะ จะมีแต่ตรงส่วนขาที่พาดไขว้ไปกับล้อรถ มันก็เลยเป็นเหตุให้ธันย์ต้องโดนตัดขาค่ะ
       
        • ความรู้สึกแรกที่ตกลงไปเป็นอย่างไรบ้างคะ กลัวไหม?
       
       ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวมากเลยค่ะเพราะว่าเราไปอยู่ที่นั่นคนเดียว ไม่มีญาติ สมมติถ้าเราเกิดอุบัติเหตุที่ไทยเราก็ยังโทร.หาพ่อแม่ได้อะไรได้ แต่ว่าพอเราอยู่ที่นั่นมันเหมือนกับว่าชีวิตเราเราต้องเลือกเอง ต้องตัดสินใจเองว่าเราจะทำยังไง ตอนนั้นที่ธันย์ตกลงไป ธันย์รู้ตัวนะคะว่าเราจะต้องเสียขาแน่นอน เพราะว่าขาเรามันคงสภาพได้ยาก หรือถึงแม้จะคงสภาพได้ ก็อาจจะเดินไม่ได้เพราะว่าตอนนั้นธันย์รู้สึกเลยค่ะว่านิ้วเท้าเรามันขยับไม่ได้แล้ว 
       
        • ฟังมาว่า เหมือนเราเป็นคนบอกหมอเองว่า ขอตัดขาทิ้ง
       
       ใช่ค่ะ ธันย์เป็นคนขอให้หมอตัดขาเอง เพราะธันย์เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ธันย์เห็นสภาพว่าขาเราเป็นยังไง และธันย์รู้สึกว่าถ้าเก็บไว้ขาก็ไม่สวยเหมือนเดิมแล้วหรือไม่ก็เดินไม่ได้ เพราะหมอเขายื่นข้อเสนอมาให้เราว่าจะขอตัดขา แล้วแบบนี้แสดงว่าหมอก็ต้องรู้แล้วว่ามันควรต้องตัดจริงๆ ถึงแม้รั้งไว้ก็อาจจะไม่สามารถเดินได้
       
        • ณ ตอนนั้นมีความรู้สึกเสียใจไหมคะที่จะถูกตัดขา
       
       ตอนนั้นยังไม่มีอารมณ์ที่รู้สึกเสียใจเท่าไหร่นะคะ กลัวมากกว่า จะรู้สึกแค่ว่าเศร้าเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้มีอารมณ์ร้องไห้ฟูมฟายเป็นเดือน เราก็ยังเล่น ยังยิ้มแย้มกับคนอื่นปกติ พอเรามีสติดีขึ้น รักษาตัวให้ดีขึ้น เราก็ไม่เคยย้อนมาหวนคิดว่าทำไมเราไม่มีขาหรือร้องไห้ฟูมฟาย อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเราอาจจะยังเด็กด้วย อีกอย่างแค่สูญเสียขา มันก็ไม่ถึงกับทำร้ายชีวิตเรามากมาย    • มีวิธีสร้างกำลังใจให้กับตัวเองอย่างไรบ้างคะ
       
       ธันย์จะทำตัวตามปกติเลยค่ะ ธันย์จะไม่ร้องไห้เสียใจหรือไปคิด ไปจำภาพเหตุการณ์วันนั้นซ้ำๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะพูดถึงไม่ได้นะคะ คือธันย์สามารถพูดได้ เล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นได้ พูดด้วยความรู้สึกที่เราเฉยๆ ธรรมดาได้ เราไม่ได้รู้สึกเสียใจว่าทำไมถึงต้องเกิดเหตุการณ์แบบนั้น แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เราไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราควรมองไปข้างหน้าแล้วก็ให้กำลังใจตัวเอง ซึ่งการให้กำลังใจตัวเองของธันย์ คือจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เพราะเราเคยเกิดอุบัติเหตุมาแล้วเราจะรู้ได้เลยว่าชีวิตคนเรามันสั้น มันมีคุณค่ามาก เพราะตั้งแต่ธันย์เกิดอุบัติเหตุ ธันย์หันมาทำในสิ่งที่อยากทำ ทำทุกอย่าง ซึ่งธันย์เองจะไม่สนใจเลยว่าร่างกายเราจะไหวหรือไม่ไหว
       
       ธันย์ใช้ชีวิตปกติมาก เช่น อยากไปไหนก็จะไป ซึ่งถ้ามันลำบากมากหรือมันเป็นอุปสรรคมากจริงๆ ก็อาจจะต้องหลีกเลี่ยง หรืออาจจะฝึกให้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยออกไป (หัวเราะ) ซึ่งตอนนี้ธันย์ก็ใช้ชีวิตได้เป็นปกติแล้วนะคะ (ยิ้ม)
       
        • เหมือนธันย์จะบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียใช่ไหม
       
       ใช่ค่ะ เพราะว่าทุกคนยังให้ความรักกับเราปกติซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้สูญเสียคนที่เรารักไป (ยิ้ม)
       
       อีกอย่างกำลังใจดีๆ ของธันย์มาจากครอบครัว เพื่อนๆ ในสังคมที่เขาคอยช่วยดูแลเราทุกอย่าง อย่างไปโรงเรียนก็มีเพื่อนที่คอยดูแล ครูคอยดูแล น่ารักมากๆ ค่ะ หรือแม้แต่เรามาในสังคม ในสิ่งแวดล้อมคนรู้จักเขาก็จะช่วยดูแลเรา แต่ดูแลในที่นี้ก็คือเขาไม่ได้มาเอาใจเรามากเกินไปจนเหมือนกับว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย แต่เขาจะทำประมาณว่า มา เดี๋ยวช่วยจับ เวลาเราเดินทางลาด หรือเดินทางขรุขระ อะไรทำนองนี้มากกว่าค่ะ
       
        • มีช่วงที่ท้อแท้กับชีวิตบ้างหรือเปล่าคะ
       
       มีบ้างนะคะ แต่มันไม่ได้ท้อเรื่องหนักๆ อะไร จะมีแค่ท้อเรื่องเหนื่อย เรียนหนักอะไรแบบนี้มากกว่าค่ะ จะไม่ได้มีเชิงท้อถึงกับร้องไห้ฟูมฟายขนาดนั้น แต่จะรู้สึกเป็นประมาณว่าเราทำอะไรไม่ดีเหรอ เราถึงทำงานนี้ไม่ได้ เราฝึกไม่ได้จะเป็นประมาณนี้มากกว่าค่ะ เป็นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เราต้องทำงานหนักมากๆ
       
        • เคยคิดกับตัวเองหรือเปล่าคะว่า ทำไมเราต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้
       
       เคยคิดนะคะ บางคนเขาก็บอกว่ามันเป็นกรรมหรือเปล่า แต่ธันย์รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่จะเกิดก็ต้องเกิด สมมติว่าถ้าเราไม่เจอแบบนี้ เราอาจจะเจอเรื่องอย่างอื่นก็ได้ แต่ธันย์รู้สึกว่าธันย์โชคดีที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ธันย์มีชีวิตรอดออกมา ประมาณว่าเราสูญเสียก็จริง แต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่นะ
       
       ธันย์จะบอกตัวเองเสมอว่าลองไปมองคนอื่นดู ไปมองคนที่เขาสูญเสียตั้งแต่เกิด เขายังไม่เคยได้รับรู้ความรู้สึกเลยว่าการเดินเป็นยังไง เพราะอยู่ดีๆ เกิดมาก็ต้องนั่งรถเข็นเลย แต่สำหรับธันย์ ธันย์ยังโชคดีเพราะมีเวลาตั้ง 14 ปีในการทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่ว่าถึงแม้เราจะสูญเสียไปแล้ว เราก็ยังสามารถทำในสิ่งที่ดีๆ ได้ ทำในสิ่งที่เคยทำในอดีตได้ มันขึ้นอยู่กับคนมากกว่าค่ะว่าเราเลือกที่จะทำมันหรือเปล่า ซึ่งธันย์เคยเห็นเพื่อนบางคนที่เขาต้องนั่งรถเข็น เขาอาจจะเลือกไม่ปฏิบัติเหมือนกับในอดีตที่เขาผ่านมา แต่สำหรับธันย์ ธันย์จะทำในสิ่งที่ธันย์เคยทำมาแล้ว จะทำให้ได้จนกว่าจะเหมือนเดิม
       
       ถ้ามีคนถามถึงอดีต ธันย์สามารถเล่าได้เป็นปกติ ยังพูดได้ว่าเราไปทำอะไรหรือโดนอะไรมา สามารถเล่าได้หมด ธันย์มองว่าอุดมคติของธันย์กับของคนอื่นอาจจะต่างกันก็ได้นะคะ เพราะบางคนในสังคมอาจจะมองความหมายของคำว่าคิดบวกว่าอันนี้ดีจังเลย คนมาด่าเราก็ไม่เป็นไร ธันย์ว่ามันค่อนข้างจะไม่เมกเซนส์เกินไป คืออะไรจะมีคนคิดบวกได้ขนาดนั้น (หัวเราะ) แต่ในคำว่าคิดบวกของธันย์จะหมายถึงอะไรที่เราทำแล้วมีความสุขมากกว่าค่ะ เราคิดแบบนี้แล้วเรามีความสุขไม่ได้ลำบากใครหรือว่ามันไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์มากกว่า นั่นคือคำว่าคิดบวกของธันย์ ไม่ใช่ว่าคนนั้นว่าก็คิดบวก หรือเพื่อนแกล้งก็คิดบวก (ยิ้ม) แบบนี้มันไม่ใช่
น้องธันย์กับคุณพ่อ
       
        • ถ้าอย่างนั้นแล้ว สิ่งที่ใช่สำหรับธันย์คืออะไรคะ
       
       ธันย์ก็จะคิดเสมอว่าธันย์จะทำในสิ่งที่เราอยากทำ ทำให้มันเต็มที่ ทำให้สุดๆ แล้วก็บอกกับตัวเองว่าถ้าเราทำไม่ได้เราต้องพยายามลองใหม่ อย่าเพิ่งปฏิแสธตัวเองว่าเราทำแบบนี้ไม่ได้ เราคิดอย่างนี้ไม่ได้ ต้องลองทำดูก่อนแล้วค่อยบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ ซึ่งธันย์ก็ไม่ได้ปฏิเสธตัวเองว่าเราคิดบวกไม่ได้เพราะเราเป็นแบบนี้ ในทางกลับกัน ธันย์กลับรู้สึกว่าถ้าเราคิดแล้วเรารู้สึกดี เราต้องนำมาใช้เลย เพราะธันย์รู้สึกว่าการที่เราคิดลบ มันทำให้เราหงอยๆ ไม่เป็นตัวของตัวเองแล้วชีวิตวัยเด็กของเราก็หายไป
       
       การสร้างแรงบันดาลให้ตัวเองของธันย์จะเป็นการที่เราออกไปพบปะผู้คน เพราะว่าส่วนตัวธันย์เป็นคนที่ชอบอยู่กับผู้ใหญ่มาก เพราะการอยู่กับผู้ใหญ่มันทำให้เราได้เรียนรู้ทางลัด เราไม่จำเป็นต้องเอาหนังสือมาอ่าน แต่เราสามารถไปคุยกับผู้ใหญ่ที่เขามีประสบการณ์ซึ่งเขาอาจะมีลูกหลานที่นั่งรถเข็น เขาก็เล่าให้เราฟังในหลายๆ อย่าง และธันย์ก็เอาความรู้ที่เรามีโอกาสไปเจอคนประเภทนี้บ่อยๆ มาปรับใช้กับตัวเอง มันทำให้เราเรียนรู้ไปในตัว เลยทำให้ธันย์ชอบที่จะไปอยู่กับคนเพื่อจะได้พูดคุย แลกเปลี่ยน เรียนรู้ชีวิต เอาชีวิตของคนอื่นมาเป็นบทเรียนให้เรามากกว่า โดยที่เราจะได้ไม่ต้องไปผิดพลาดเหมือนกับเขา 
   • รู้มาว่า ธันย์มักจะไปสร้างกำลังใจให้ผู้อื่น มีใครมองเราว่าเป็นกำลังใจดีๆ ให้กับเขาบ้างหรือเปล่า
       
       มีค่ะ (ยิ้ม) กระแสตอบรับดีมากค่ะ หลายคนบอกว่าเขาฟังเราแล้วทำให้เขามีกำลังใจมาก อย่างมีคนหนึ่งเป็นพี่ที่ธันย์ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ว่าเขามาเยี่ยมธันย์ ซึ่งเขาบอกว่าแม่เขาดูข่าวธันย์แล้วรู้สึกได้กำลังใจ ตอนแรกแม่เขาเป็นมะเร็ง หมอบอกอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน แต่ปรากฏว่าเขาสู้เลยทำให้มีชีวิตต่อไปได้ ซึ่งปัจจุบันก็ยังอยู่
       
       อีกเคสหนึ่ง คือพี่คนหนึ่งเขาก็เป็นเหมือนธันย์เลยค่ะ เป็นคนปกติที่ไม่สูญเสียอะไรมาก่อนเหมือนไปศึกษามาแล้วนำมาสอน แต่ปรากฏว่าคนเขาชื่นชอบเรื่องของธันย์มากกว่าเพราะเรื่องของธันย์มันเป็นอะไรที่ถึงแม้จะไม่ได้อ่านหนังสือมาแต่มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้จริงว่าเราทำได้จริงๆ แล้วเราก็มีความสุขจริงๆ เพราะมันมีตัวอย่างจากที่เราเกิดอุบัติเหตุมา มันเป็นเรื่องที่เราไม่ได้เติมแต่งหรือไปคิดเพิ่ม เราเอามาจากตัวตนของเราจริงๆ
       
       ธันย์โชคดีตรงที่ได้ไปเจอกับเพื่อนหลายๆ คน ได้คนแลกเปลี่ยน พอคุยแล้วธันย์ก็ชอบที่จะเก็บเอามาคิด วิเคราะห์ พอมาคิดแล้วก็จะแบบว่าเออแบบนี้ไม่ดีนะ แบบนี้ดีนะ ธันย์เลยเอาสิ่งนั้นมาลองทำกับตัวเอง เหมือนประมาณว่าบางคนบอกว่าเขาสอนลูกเขาแบบนี้ให้ทำแบบนี้นะ ธันย์ก็ลองมาทำบ้างปรากฎว่ามันก็โอเค เรามีความสุข มันมีแต่ผลดีเราก็จะทำ (ยิ้ม)
       
        • ถ้าจะว่าไปแล้วเราได้บทเรียนอะไรจากอุบัติเหตุครั้งนั้นบ้างคะ
       
       ได้บทเรียนเยอะมากเลยค่ะ ทั้งบทเรียนการใช้ชีวิต การเข้าสังคม การรู้จักคิดให้กับชีวิตตัวเอง คือถ้าธันย์เป็นเด็กในสมัยที่ยังไม่เกิดอุบัติเหตุ ธันย์ก็คงจะกลับไทยมาก็เรียนพิเศษ ชีวิตไม่มีเป้าหมาย มีชีวิตไม่รู้จะทำอะไร แล้วเรียนจบจะไปทำอะไรต่อไป ธันย์ว่ามันเป็นบทเรียนที่สำคัญ เป็นบทเรียนที่หาซื้อไม่ได้
       
        • ถามตรงๆ ว่าทุกวันนี้มีความสุขดีไหม เคยคิดว่าตัวเองมีปมด้อยหรือเปล่า
       
       มีความสุขนะคะ (ยิ้ม) ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตตามปกติทุกอย่าง ไปเรียนปกติโดยที่เราไม่ได้แบ่งแยกว่าเราไปเรียนแล้วเราจะทนสายตาเพื่อนได้ไหม คือธันย์ก็ยังไปกวดวิชากับเด็กปกติ ก็ยังไปนั่งเรียนปกติเพราะมันเป็นช่วงวัยที่เราต้องศึกษาหาความรู้ ซึ่งธันย์เองจะไม่ได้ไปสนใจเลยว่าเราไปแล้วเราจะลำบากไหมจะอะไรไหม ธันย์จะเลือกทางที่ดีที่สุดมากกว่า
       
       ถ้าถามว่ามีปมด้อยไหม ธันย์มองว่าใครหลายๆ คนอาจจะคิดว่าธันย์มีปมด้อยที่ขา แต่สำหรับธันย์ ธันย์คิดว่ามันเป็นปมเด่นของธันย์เลยค่ะ มันทำให้ธันย์ได้อะไรหลายๆ อย่าง ทำให้ธันย์เป็นที่รู้จักของสังคม ทำให้ธันย์เจอคนเยอะ ได้มีโอกาสทำงานหลายๆ อย่างในขณะที่เพื่อนในวัยเดียวกันต้องเรียนและก็สอบ แต่สำหรับธันย์แล้วธันย์ได้ทำอะไรหลายอย่างมาก ทั้งทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ได้ใช้ชีวิตแบบเต็มที่แล้วจริงๆ อีกอย่างที่เราทำได้เต็มที่ ก็เพราะเราคิดบวก ถ้าในวันนั้นเราไม่คิดบวก เราไม่ยิ้มสู้เราคงไม่มีวันนี้ค่ะ
       
        • วางแผนในอนาคตอย่างไรบ้างคะ เห็นว่าใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วด้วย
       
       ธันย์มองคณะจิตวิทยากับนิติศาสตร์เอาไว้ เพราะเป็น 2 คณะที่ธันย์อยากเรียนมากๆ ค่ะ (ยิ้ม) อีกอย่างมันเป็น 2 คณะที่เราสามารถเอาไปใช้ในสังคมอย่างตรงจุดจริงๆ ซึ่งความฝัน ธันย์อยากเป็นตัวแทนมอบอะไรกลับไปให้สังคมบ้าง เพราะตั้งแต่ธันย์เกิดอุบัติเหตุมาสังคมก็ให้อะไรหลายๆ อย่างกับธันย์มาก ซึ่งธันย์ต้องขอบคุณมากๆ ค่ะ (ยิ้ม)
       
       หลักๆ เลย ธันย์อยากทำงานเป็นจิตอาสาเพราะมันเป็นอะไรที่เราไม่ต้องมองไปถึงปัจจัย แต่กลับกันคือเราไปทำแล้วเรามีความสุข มันคือการที่เราได้ไปแบ่งปันประสบการณ์ให้กับหลายๆ คนซึ่งตัวธันย์เองอยากจะทำอาชีพวิทยากรแบบนี้ต่อๆ ไปค่ะ เพราะว่ามันเป็นอาชีพที่เราสามารถทำได้เรื่อยๆ เพราะประสบการณ์มันไม่มีที่สิ้นสุด
       
       ธันย์อยากเป็นอะไรที่ใช้ด้านการพูดเป็นหลัก อยากทำในสิ่งที่ได้ช่วยเหลือคนจริงๆ มันเป็นอะไรที่ดี มันได้ทำอะไรที่ช่วยเหลือสังคมตรงๆ จริงๆ เหมือนว่าได้เอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเองไปเผยแพร่ให้กับคนอื่นจริงๆ ไม่ได้ปิดกั้นว่าเราประสบอุบัติเหตุมา ไม่ได้ปิดกั้นไม่ให้ใครรู้ว่าเราเป็นคนที่ใส่ขาเทียมนะ ไม่ได้ปิดกั้นว่าเราเป็นใคร เราพร้อมที่จะแชร์ต่อถ้ามันทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น ช่วยให้เขาคิดบวกมากขึ้น ซึ่งตรงนี้อาจจะอาศัยสิ่งที่เราเรียนมา ได้ศึกษามาเอาไปพูด ไปเผยแพร่ให้กับคนที่ยังท้อแท้อยู่ เพราะธันย์คิดว่าภูมิคุ้มกันของคนในสังคม น้อยคนมากที่จะกล้าเผชิญกับความเป็นจริง หรือว่ากล้าที่จะต่อสู้กับความเป็นจริง
       
       ธันย์ชอบงานช่วยเหลือสังคม ชอบที่จะทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นๆ เพราะการที่เราไปทำงานจิตอาสานี้ นอกจากเราจะนำไปให้เขาแล้ว เขาก็ให้ตอบกลับมาด้วย เราสามารถเอาประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้มาจากเขาไปเผยแพร่ต่อในสังคมวงกว้างขึ้นไปอีก เพราะการที่เราไปช่วยหรือแชร์ประสบการณ์ให้คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง มันอาจจะเป็นแค่กลุ่มหนึ่งที่ถ้าเทียบกับทั้งประเทศมันน้อยมาก
       
        • ท้ายนี้อยากบอกอะไรกับคนที่เขากำลังท้อแท้หรือต้องเจอเหตุการณ์การสูญเสียบ้าง
       
       ธันย์อยากบอกกับเขาว่าให้เขามีกำลังใจให้กับตัวเอง เพราะว่าการที่เขามีกำลังใจให้กับตัวเองแล้วลุกขึ้นมาสู้ มันไม่มีอะไรที่จะมาซื้อหรือมีใครมาสั่งให้เขาทำได้ มันขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง ซึ่งถ้าสมมติว่าเขาสู้แล้ว เขามีกำลังใจให้กับตัวเอง ธันย์เชื่อว่าสิ่งดีๆ ก็จะตามมาแน่นอน เพราะถ้าเราคิดว่ามันดี มันก็จะดีทั้งกับตัวเองและสิ่งรอบๆ ตัว ทำให้เราพลิกสิ่งที่ร้ายๆ หรือพลิกวิกฤตนั้นๆ ให้เป็นโอกาสมากกว่า พลิกให้เขาได้ทำในสิ่งที่ดีๆ ให้เขามองเรื่องที่ถ้าเขาไม่ได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ได้ประสบอุบัติเหตุแบบนี้เขาอาจจะไม่ได้ทำก็ได้
       
       อยากให้เขามองด้านดีกับด้านไม่ดีหันมาทำสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตเขาดีกว่า เพราะการที่นั่งอยู่เฉยๆ ท้อแท้ เสียใจ มันไม่ได้อะไรขึ้นมา แล้วคนรอบข้างก็ไม่สนใจด้วย อีกอย่าง ถ้ายิ่งท้อ มันก็ยิ่งทำร้ายตัวเอง 
 
  Profile
       
       ชื่อ : ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ 
       ชื่อเล่น : ธันย์ 
       วันเกิด : 16 มิถุนายน 2539 
       อายุ : 18 ปี 
       การศึกษา : ปัจจุบันศึกษาชั้น ม.6 โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย 
       คติประจำตัว : วันนี้ดีแล้วพรุ่งนี้ต้องดีกว่า  
 
        เรื่อง : วรัญญา งามขำ
       ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร 
ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 30 มีนาคม 2558
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก