ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ครม.รับทราบความเห็น ปชช. 75% อยากฉีดวัคซีนกันโควิด

วันที่ลงข่าว: 09/06/21

          ที่ประชุม ครม.รับทราบผลสำรวจความเห็นประชาชนเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 พบ 75.2% ต้องการฉีดวัคซีน ส่วนใหญ่ระบุว่า วัคซีนที่ต้องการมากที่สุดคือ วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มตัวอย่าง 46,600 คน ระหว่างวันที่ 17-22 พ.ค. 64 เกี่ยวกับกรณีของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประชาชน 75.2% ต้องการฉีดวัคซีน ในจำนวนนี้มีผู้ต้องการฉีดและพร้อมที่จะฉีดวัคซีน 47.7% และต้องการฉีดแต่ยังไม่พร้อม 27.5%  ส่วนที่ฉีดวัคซีนแล้วมี 5.5% ขณะที่ 19.3% ไม่ต้องการฉีดวัคซีน โดยให้เหตุผลว่า กลัวผลข้างเคียงมากที่สุด รองลงมาคือไม่เชื่อมั่นว่าวัคซีนจะสามารถป้องกันได้ มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เช่น พิการ มีโรคประจำตัว ตั้งครรภ์ สามารถป้องกันตัวเองได้ และไม่มีข้อมูลหรือข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจ

          สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนระบุว่า วัคซีนที่ต้องการมากที่สุดคือ วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ 54.6% วัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ 12.5% วัคซีนโมเดอร์นา 3% วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 2.5 และวัคซีนโนวาแวกซ์ 0.9% โดย 6 จังหวัดที่มีผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วและผู้ที่พร้อมจะฉีดสูงกว่า 70% ได้แก่ ภูเก็ต 80.2% ตรัง 80% ระนอง 78.8% บุรีรัมย์ 73.3% ชลบุรี 71.8% และนนทบุรี 71.2% ส่วนความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีนนั้น ประชาชน 45.3% มีความเชื่อมั่นต่อคุณภาพวัคซีนที่รัฐบาลให้บริการกับประชาชน ขณะที่ 54.7% ไม่เชื่อมั่น โดยให้เหตุผลว่า กลัวผลข้างเคียง วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าวัคซีนที่จะเลือกใช้เอง และได้รับข้อมูลข่าวสารของวัคซีนที่มีความขัดแย้งกัน

         นอกจากนี้ประชาชนยังเห็นว่า รัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนและลดความสับสนของข่าวสารดังนี้ ให้ผู้มีความรู้ ประสบการณ์ หรือผู้มีวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้นำเสนอประโยชน์ของวัคซีนเพื่อสร้างความมั่นใจอย่างต่อเนื่อง, ให้หน่วยงานรับผิดชอบตรวจสอบข้อมูลและสกัดกั้นข่าวเท็จที่เผยแพร่จากสื่อสาธารณะ หรือโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว และให้หน่วยงานเดียวเป็นผู้รับผิดชอบให้ข้อมูลข่าวสาร และยังพบด้วยว่า ประชาชน 90.5% ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เรื่องที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ รายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย 49.3% และเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือมากที่สุดได้แก่ ช่วยเหลือค่าครองชีพ 67.8%

ที่มาของข่าว https://www.dailynews.co.th/economic/848506
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก