ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

นายกรัฐมนตรี ระบุ ไทยมุ่งเสริมสร้างศักยภาพสตรีบนเวทีอาเซียน พร้อมผลักดันความเสมอภาคทางเพศในยุคดิจิทัล

วันที่ลงข่าว: 29/06/20

          พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแสดงข้อคิดเห็นในการประชุมผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่องการเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในการประชุมนอกเหนือจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 36 ผ่านระบบประชุมทางไกล โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า รู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ เรื่องการเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล โดยขอชื่นชมเวียดนามที่ตระหนักถึงความสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพสตรี ซึ่งเป็นสมาชิกกว่าครึ่งหนึ่งของประชาคมอาเซียน ตนเองเชื่อมั่นว่าการเสริมสร้างศักยภาพสตรี เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการบรรลุวิสัยทัศน์ของประชาสังคมอาเซียน ค.ศ 2025 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ในด้านเศรษฐกิจประเทศไทยส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการสตรีและมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการประกอบการอย่างเต็มความสามารถ

           นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยผลักดันเสริมสร้างศักยภาพสตรีภาพสตรีในอาเซียนอย่างเต็มที่และได้สนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียนสากล นอกจากนี้ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลกในปี 2563 นี้ ภายใต้หัวข้อ พลังสตรีพลิกเศรษฐกิจ เพิ่มบทบาท ทั้งในภาคธุรกิจ ภาควิชาการ ภาคการเมืองและภาคความมั่นคงและมีส่วนร่วมในการสร้างเสถียรภาพ นอกจากนี้ ประเทศไทยได้บังคับใช้ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ ป้องกันและแก้ไขการล่วงละเมิดทางเพศ ส่งเสริมเจตคติที่เคารพความเสมอภาคระหว่างเพศ ทั้งนี้เห็นว่าอาเซียนควรให้ความสำคัญกับประเด็นหลักในการเสริมสร้างศักยภาพสตรี คือ อาเซียนควรส่งเสริมเข้าถึงแหล่งเงินทุนสตรีที่ประกอบวิสาหกิจทั้งขนาดกลาง ขนาดย่อม การส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทด้านการสาธารณสุขโดยในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยได้ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของสตรีในฐานะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ที่เข้มแข็งเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขไทย

          นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลไทยเตรียมมาตรการเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มสตรีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด -19 รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย คนยากจน กลุ่มเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ โดยให้ความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาความเดือดร้อน

 

ที่มาของข่าว สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก