ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

รัฐบาลเปิดแผนปี63แก้ปัญหาปากท้อง-ลดค่าครองชีพ

วันที่ลงข่าว: 02/01/20

          รัฐบาลเปิดแผนงานปี63 เร่งแก้ปัญหาปากท้อง-ออกมาตรการตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ช่วยลดค่าครองชีพลูกจ้าง

เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.  นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  ในปี 2563 รัฐบาลมุ่งมั่นเดินหน้าดูแลยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเน้นมาตรการแก้ปัญหาปากท้องที่จะออกแบบให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้ 1.กลุ่มเกษตรกร มุ่งสร้างเกษตรครบวงจร และเกษตรโมเดลเศรษฐกิจใหม่ โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ประเมินผลของมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ทำในปี 2562 เพื่อทบทวนและออกมาตรการที่จะนำไปสู่การสร้างเกษตรครบวงจรและเกษตรโมเดลเศรษฐกิจใหม่ โดยจะต้องใช้ตลาดนำการผลิต คือการใช้ข้อมูลความต้องการของตลาดในประเทศ ตลาดส่งออก และตลาดสินค้าเกษตรระบบเศรษฐกิจใหม่ และเกษตรแปรรูป ที่ชัดเจนมาช่วยกำหนดแผนการผลิตพืชแต่ละชนิดให้กับเกษตรกร ควบคู่ไปกับแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรตามบริบทของพื้นที่ แผนการทำเกษตรแปลงใหญ่และการใช้นวัตกรรมเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต อย่างไรก็ตาม ในระยะเปลี่ยนผ่าน อาจต้องมีการสนับสนุนต้นทุนการผลิตสำหรับพืชบางชนิด  ทั้งนี้ การทำประกันภัยพืชผลจากความเสี่ยงของภัยธรรมชาติยังเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ สุดท้าย นโยบายที่รัฐบาลจะมุ่งไปสู่ คือนโยบายรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรผ่านมาตรการที่เหมาะสมสำหรับพืชแต่ละชนิด เช่น มาตรการสินเชื่อชะลอการขาย สินเชื่อรวบรวมข้าวเพือดูดซับปริมาณผลผลิตจากท้องตลาดในช่วงที่ผลผลิตออกพร้อมกัน หรือมาตรการส่งเสริมให้นำพืชผลทางการเกษตรไปใช้มากขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการแทรกแซงกลไกราคาตลาด อย่างเช่น นโยบายส่งเสริมน้ำมันไบโอดีเซล บี10 เป็นต้น

          โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า  2.กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ปรับและกำหนดเกณฑ์เพื่อขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อย และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างครอบคลุม โดยนายกรัฐมนตรีกำชับให้ศึกษาและทบทวนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้นำเอาข้อมูลผู้มีบัตรสวัสดิการ 14.6 ล้านคน มาวิเคราะห์และทบทวนการกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติของผู้มีรายได้น้อย เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อยประจำปี 2563 เพื่อคัดกรองให้ได้ผู้มีรายได้น้อยจริงมาเข้าสู่มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต 4 ด้านหลัก คือ 1.สวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ควรจะจัดสรรตามความจำเป็นที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เกษตรกร 2.การพัฒนาทักษะทางอาชีพ ที่สอดคล้องกับบริบทของการทำงานและการจ้างงานในพื้นที่ 3.การหางานให้ทำ ทั้งงานที่มีนายจ้าง การรับงานไปทำที่บ้าน และอาชีพอิสระ 4.การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ทั้งหมดนี้ เพื่อนำไปสู่การให้โอกาสกับผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืน  3.กลุ่มผู้สูงอายุ จัดสวัสดิการที่เหมาะสมและส่งต่อการจ้างงาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุที่มีความแตกต่างกัน และมาตรการส่งเสริมให้บุตรหลานดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว เพื่อสร้างสังคมกตัญญู 

          นางนฤมล กล่าวว่า  4.กลุ่มลูกจ้าง โดยนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนที่เป็นลูกจ้าง 14.6 ล้านคน ที่แม้มีรายได้เกิน 100,000 บาทต่อปี จึงไม่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่อาจมีค่าครองชีพที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกจ้างที่ทำงานในเมือง จึงมอบหมายให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมกับภาคเอกชนกำหนดมาตรการดูแลลดภาระค่าครองชีพให้กับลูกจ้าง  และนายกรัฐมนตรีกำชับให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐพิจารณาหามาตรการช่วยเหลือบรรเทาภาระหนี้นอกระบบให้กับกลุ่มลูกจ้างด้วย นอกจากนี้ ในรายที่ถูกเลิกจ้างงาน รัฐบาลจะเข้าช่วยพัฒนาทักษะและหางานให้ทำต่อไป  5.กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รวมถึงสตาร์ทอัพ ซึ่งรัฐบาลจะยกระดับการดูแลพัฒนาผู้ประกอบการในปี 2563 ทั้งด้านนวัตกรรม ความรู้ แหล่งเงินทุน และการปลดล็อกเงื่อนไขที่ทำให้เกิดข้อจำกัดต่อผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ.

 

ที่มาของข่าว https://www.dailynews.co.th/politics/749623
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก