ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

การเดินทางที่เริ่มต้น 4/01/2011

โดย อาร์ แครี่ เวสต์บรู้ค

การบกพร่องทางการเรียนรู้ถูกนิยามว่าเป็นความบกพร่อง ของแต่ละบุคคลที่ถูกรับรู้ในการวิเคราะห์ ในกระบวนการผลิตข้อมูลในสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ตามแบบแผน  นั่นเป็นคำนิยามทางแพทย์  สำหรับผมแล้ว ความบกพร่องทางการเรียนรู้เป็นเรื่องส่วนบุคคลมากกว่ามาก  นี่เป็นบันทึกของการเดินทางของผม  และเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ถูกออกแบบให้ช่วยเหลือท่านเพิ่มพูนประสบการณ์ใน วิทยาลัยให้สูงที่สุด รวมทั้งสร้างทักษะทางธุรกิจที่ท่านต้องการสำหรับความสำเร็จในโลกที่แท้จริง
 มาเริ่มต้นการเดินทางแห่งการเรียนรู้ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ทำกัน  ในระดับอนุบาล ซึ่งปัญหาของตัวผมเองกลายเป็นที่สังเกต  ผมไม่สามารถที่จะจดจำเบอร์โทรศัพท์ของตนเอง  ถนนที่อยู่หรือ การเรียงลำดับตั้งแต่ ABC ได้  เหล่านี้และปัญหาอื่นๆ ที่ดำรงอยู่และเกิดขึ้นเหมือนอย่างวลีที่ผมต้องเผชิญ “เจ้าหนูนั่นค่อนข้างขี้เกียจสักหน่อยนะ” พวกเขาพูดกันอย่างนั้น  “คุณรู้ไหม  ประเภทสมองช้าน่ะ”
 ในฐานะเด็กคนหนึ่ง  การตีตราเหล่านี้ถูกระบุออกมามากว่าชื่อของผมเสียอีก  ช่วงบ่ายของผมเต็มไปด้วยผู้สอนที่พยายามจะช่วยเหลือ  กลางคืนศึกษาการบ้านที่ผมไม่เข้าใจ  และช่วงหน้าร้อนผลักดันผมให้ต่อสู้กับสงครามทางอารมณ์ครั้งต่อไป  ปีการศึกษาใหม่แต่ละครั้งเริ่มต้นด้วยความหวังและการมองโลกในแง่ดีว่าจะเกิด การเปลี่ยนแปลง  แต่ความโมโหและความรู้สึกท้อแท้ของปีก่อนๆ ก็เริ่มต้นอย่างรวดเร็ว
 เรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นเมื่อผมตกเกรดเจ็ด  ผมระลึกถึงปีการศึกษาที่เลวร้ายที่สุดนี้ได้อย่างชัดเจนเมื่อ  การได้รับการดูถูกและความยุ่งยากใจที่เผาผลาญด้วยความสิ้นหวังอัดอั้นอยู่ ภายในใจผม  มันราวกับว่า  การวาดอุปนิสัยทั้งหมดเกี่ยวกับผมรวมผนึกเข้าด้วยกันเพื่อสร้างสรรค์ สถานการณ์ที่มีความมั่นใจได้เลยว่า  เด็กชายอายุสิบสี่คนนี้ไม่สามารถจะจัดการได้  ผมไม่สามารถทนต่อการทะลักทางอารมณ์ซึ่งดูเหมือนว่าจะรุกรานทุกๆ ส่วนของชีวิตผม
 เมื่อคุณพ่อคุณแม่ของผมเห็นผมอยู่บนขอบเหวของการพังทะลายอย่างจริงจัง  ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะให้ผมไปตรวจที่คลีนิคสุขภาพทางจิตในชุมชน  ผลปรากฏว่า  ผมเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน (dyslexia)  ผมมีระดับการสะกดคำ ความเข้าใจและการอ่านที่ระดับเกรด 5  ในฉับพลันนั้น  มีปัญหาหนึ่งที่พวกเขาจัดการได้  ที่ปรึกษาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พาผมไปเข้าโรงเรียนที่สามารถจัดการความต้อง การทางการศึกษาและทางอารมณ์ของผมได้ดีกว่า  เรื่องนี้มีผลให้ผมเข้าไปอยู่ในโรงเรียนรัฐของชุมชน  และแม้ว่าสิ่งแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงไป  เมล็ดผลแห่งความไม่ไว้วางใจได้หว่านลงไปในปีแรกๆ จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม

ชีวิตที่โรงเรียนใหม่นั้นแปลกไป  มันราวกับว่า ผมมีชีวิตสองชีวิตที่แตกต่างในขณะเดียวกัน  มีบุคคลซึ่งผมต้องการให้คนทั่วไปได้เห็นนั่นคือ บุคคลที่สงบสันติและกำลังยิ้มแย้ม บนถนนไปสู่การฟื้นฟู  แล้วมีบุคคลอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกโกรธ เกลียด โดดเดี่ยวและคั่งแค้นต่อบุคคลที่ทำไม่ดีต่อผม  เมื่ออารมณ์เดือดจนได้ที่ผมได้เริ่มต้นเข้าเรียนที่ชั้นเรียนพิเศษชั้นแรก ของผมที่โรงเรียนใหม่  เมื่อผมมองกลับไปยังประสบการณ์นั้น ผมตระหนักว่า ชั้นเรียนนั้นมีความหมายต่อนักเรียนที่สมองล่าช้าและสอนพวกเขาในเรื่องทักษะ พื้นฐานของการจัดการชีวิต  ในปีต่อๆ มา  โรงเรียนได้พัฒนาชั้นเรียนที่ออกแบบได้ดีขึ้นสำหรับการศึกษาพิเศษให้บรรลุ ความต้องการทางวิชาการของนักเรียน ที่บกพร่องทางการเรียนรู้ (LD)

ในเวลานั้น มันสายเกินไปสำหรับผม---ผมได้ยอมแพ้  ในช่วงวัยรุ่นของผมเต็มไปด้วยทิศทางที่ไร้เป้าหมาย  จบการศึกษาสูงสุดในปี 1979  เมื่อจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ผมได้ลงทะเบียนในวิทยาลัยของท้องถิ่น  แต่ภาพด้านลบของตัวผมเด่นชัดมากและผมเลิกราจากการเรียนอย่างเต็มใจ  ผมทำงานที่ได้รับค่าจ้างต่ำหลายหลากงาน  ความรู้สึกตลอดช่วงเวลานั้นมันมากมายต่อชีวิต  ผมต้องการหลีกหนี ไปสู่หนทางที่จะเริ่มต้นใหม่

ที่อายุ 20 ผมสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกา  อาชีพทหารอากาศของผมสร้างความทรงจำที่ยิ่งใหญ่มากมาย  ผมสามารถจะเห็นโลกและประสบการณ์ชีวิตอย่างไม่เหมือนกับช่วงเวลาใดๆ มาก่อน  ระหว่างช่วงเวลามากที่สุดในสิบปีของอาชีพผม  การบกพร่องทางการอ่านไม่ใช่ปัญหา  ไม่มีใครรู้และผมก็ไม่ได้บอกใครๆ  แต่ในการมอบหมายงานที่แลคแลนด์ เอเอฟบี เท็กซัส  ผมถูกวางอยู่ในงานที่ต้องใช้ทักษะการเขียนและการอ่าน  ซึ่งเป็นทักษะที่ผมไม่มี มันเด่นชัดที่ว่ามีบางสิ่งผิดพลาดและผมถูกบังคับให้สารภาพความลับที่ถูกปก ปิด  อีกครั้งที่ผมถูกประเมินและผลก็เน้นย้ำถึงการวินิจฉัยอาการก่อนหน้า  กองทัพอากาศให้ผมหลากหลายทางเลือก  ทางเลือกที่สบายอกสบายใจผมมากที่สุดคือ การโยกย้ายจากหน้าที่ที่ปฏิบัติอยู่

กับภรรยาหนึ่งคนและลูกสองคนที่ยังเยาว์ที่จะคอยสนับสนุน ผมได้เผชิญกับการท้าทายที่ยิ่งใหญ่นั่นคือ การหางาน  ใบประวัติส่วนตัวจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกส่งทางโทรสารและถูกเมล์ไปยังบริษัท ทั้งหลาย  ทั้งหมดนั้นส่งกลับมาด้วยคำตอบเดียวกัน  “คุณเวสต์บรู้คที่นับถือ  ขอบคุณสำหรับความสนใจในบริษัทของเราแต่เราได้คัดเลือกผู้สมัครคนหนึ่งซึ่ง บรรลุความต้องการของเราได้ดีกว่าแล้ว”  กับการปฏิเสธใหม่ๆ แต่ละครั้ง  ความรู้สึกถึงความไม่สมบูรณ์ของเวลาหลายปีในอดีตได้กลับมาเยือน  ปล้นความมั่นใจใดๆ ที่ผมเคยได้รับและแทนที่ด้วยภาวะของการตื่นตระหนก  มันเลวมากเท่าที่ผมจะยอมรับมันได้  ผมต้องการกลับไปเรียนที่โรงเรียน  สถานที่ผมเกลียดที่จะใช้ชีวิต  บัดนี้กลายเป็นสถานที่ซึ่งผมรู้สึกว่าผมต้องการมากที่สุด

ด้วยการสนับสนุนและความเข้าใจของภรรยาผม ผมลงทะเบียนในวิทยาลัยชุมชนของท้องถิ่น  ที่อายุ 30 ผมกลับเข้าไปเรียนวิทยาลัยอีกและผมมีความคิดดีๆ มากมายถึงสิ่งที่ผมกำลังเผชิญ  ผมยังจำวันแรกได้ดี  กับตัวเองผมบอกว่า “แกต้องเป็นบ้าไปแน่ๆ ที่ลองอีกครั้ง  แกเคยลองมาก่อนแล้ว  แกทำมันไม่ได้  แกไม่ฉลาดพอ  ทำไมแกถึงทำอย่างนี้กับตัวแกเองอีก”

ต่อคำถามแต่ละคำถามภายในใจเหล่านี้  มีคำตอบที่เงียบสนิท  ผมกำลังถามคำถามที่ไม่มีคำตอบ  ผมเพียงแต่มีความเชื่อที่แข็งแกร่งที่ลึกอยู่ภายในว่า ผมดีกว่าที่เป็นอยู่นี้  ผมจดจำความคิดถึงตนเองในหลากหลายโอกาสว่า  ถ้านี่ไม่ฆ่าผมให้ตายผมก็จะชนะ  ราวกับว่า มันเป็นการต่อสู้ถึงตาย  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมล้มพลาดแต่ก็สามารถจัดการลุกขึ้นมาใหม่   หัวเข่าและร่างกายสั่นเทา  แต่ผมก็ยังยืนอยู่  ยิ่งผมถูกตีมากเท่าไหร่ผมยิ่งเริ่มเข้าใจว่าผลกระทบอะไรที่ความบกพร่องทาง การเรียนรู้มีต่อชีวิตผม  ใช่แล้ว การบกพร่องทางการอ่านเป็นสาเหตุของปัญหาทางอารมณ์และทางวิชาการอย่างยิ่ง ใหญ่สำหรับผม  แต่บางสิ่งที่อันตรายมากกว่านั้นได้เกิดขึ้น  มันขโมยความสามารถที่จะฝันและเล่นกลกับผมให้ทำได้ดีน้อยกว่าที่ผมควรจะทำได้

เราแต่ละคนวาดภาพตัวตนของเราเอง  รูปภาพซึ่งเรามีทัศนะต่อตนเอง  รูปภาพของเราสะท้อนภาพพจน์ที่ไร้ชีวิต  ดำรงอยู่แต่ไม่เคยมีชีวิต  นั่นเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนไป  ผมอยากจะบอกคุณว่า มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่แต่มันไม่ใช่  เพียงแค่ความเข้าใจว่า ถ้าผมกำลังที่จะต้องรับคำตำหนิทั้งหมดสำหรับความล้มเหลวแล้ว  ในที่สุดผมจะต้องได้รับความพึงพอใจของการทำอย่างวิถีทางของผม

ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่า ผมจะต้องกระตือรือร้นในทุกๆ ด้านของการศึกษาของผม  ปรัชญาของ “พลังทางการศึกษา (Education Empowerment)” กลายเป็นจุดรวมจุดเดียวในชีวิตของผม  สำหรับผมแล้ว พลังทางการศึกษาหมายถึงความสามารถและความรู้ที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการ เรียนรู้ให้เหมาะสมกับจุดแข็งในการเรียนรู้ของผมเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของ แต่ละภาคเรียน  สิ่งนี้ให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับความสำเร็จของผม

บทเรียนแรกของผมในการเสริมพลังทางการศึกษาไม่มีอะไรจะต้องทำกับวิทยาลัย  แต่เป็นทุกๆ สิ่งที่จะต้องทำกับชีวิต  แปลกทีเดียว มันเริ่มต้นโดยการมองไปที่โลกที่มันเกี่ยวพันกับผม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมถามตัวเองด้วยคำถามมากมาย  ทำไมอย่างนี้  ทำไมอย่างนั้น  ไม่มีคำถามอะไรที่ไม่ได้ถาม  ขณะที่ผมทำตามวิถีทางของผมผ่านกระบวนการนี้อย่างช้าๆ ผมตระหนักได้ว่า ทุกๆ สิ่งที่เคยอธิบายเกี่ยวกับ “ผม” เป็นไปในทางลบทั้งนั้น  แม้แต่คำนิยามโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย คำว่า บกพร่องทางการเรียนรู้เป็นไปในทางลบ  ราวกับว่า ผมไม่สามารถจะเรียนรู้ได้

ผมมีคำถามกับคำนิยามอีกแล้ว  อัลเบิร์ต ไอสไตน์  วินสตัน เชอร์ชิลล์ หรือ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์บกพร่องทางการเรียนรู้จริงๆ หรือ  ไม่ พวกเขาเป็นตรงกันข้ามอย่างแน่ชัด  พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่บกพร่องทางการเรียนรู้  พวกเขาเป็นผู้เรียนที่มีพลัง (Dynamic Learners) พวกเขาใช้ความคิดที่สร้างสรรค์แก้ปัญหาต่างๆ

แล้วประเด็นของพวกเขาเกี่ยวพันกับผมอย่างไร  ผมไม่ใช่อัลเบิร์ต ไอสไตน์นะ  แต่ผมสามารถเป็นอย่างเขาได้ไหม  เปลี่ยนเป็นผู้เรียนที่ทรงพลัง  เปลี่ยนแปลงการบกพร่องทางการเรียนรู้ของผมเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาที่ ยิ่งใหญ่ด้วยการสร้างสรรค์และความคิดที่ฉลาดเฉียบแหลม

ผมเริ่มตระหนักว่า ผมมีตัวร่วมกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้มากกว่าที่ผมได้จินตนาการไว้แต่ก่อน ผมเริ่มทำให้ความสำเร็จของพวกเขาอยู่ภายในใจผมเหมือนเป็นตัวชี้ทางความ สามารถของผมเอง  ผมได้รับเครื่องมือทางจิตวิทยาอันทรงพลังที่จะต่อสู้กับความทรงจำเหล่านั้น ที่ฝังรากลึกและครอบคลุมชีวิตผม  การสร้างภาพตัวของผมเองเริ่มที่จะสะท้อนบุคคลที่แตกต่างอย่างช้าๆ  และเป็นครั้งแรก  ผมเริ่มที่จะเห็นตัวเองเป็นผู้เรียนที่ทรงพลังที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และวิธีการในการแก้ปัญหา

สำหรับโลกภายนอกแล้ว การวาดภาพถึงความสำเร็จเล็กน้อยอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กและไม่สลักสำคัญ  แต่สำหรับผมแล้ว มันทำให้ชีวิตผมมีค่าต่อการดำรงอยู่  ขั้นตอนแห่งความมั่นใจเล็กๆ นี้นำไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น  ผมจบการศึกษาจากวิทยาลัยด้วยปริญญาตรีด้านระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ในวันที่ 12 ธันวาคม 1995  และได้ใช้ปริญญาเป็นเครื่องมือดีดตัวเองไปสู่เป้าหมายในทางอาชีพ

โดยเบื้องต้นความมุ่งหมายของผมในการกลับไปเรียนที่วิทยาลัยถูกผลักดัน ด้วยความปรารถนาที่จะได้ทำงานที่มีค่าตัวสูงขึ้น  ใช้ปริญญาของผมเป็นบันไดไปสู่โลกธุรกิจ  ผมรู้ว่าการโต้แย้งทางอาชีพต่อความบกพร่องของผม  ไม่ว่าจะถูกพบหรือไม่ถูกพบ เป็นความจริงที่ผมต้องเผชิญ  แม้ว่าโลกสองโลกของวิทยาลัยและของธุรกิจจะแตกต่างกัน  พวกมันก็ดำเนินไปควบคู่กันทำให้กลยุทธ์การเรียนรู้ที่พบใหม่ของผมเป็นเรื่อง สำคัญมากสำหรับที่จะสามารถจะนำจากวิทยาลัยไปใช้สู่การทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ถึงเป้าหมายทางอาชีพของผม  การตระหนักในเรื่องนี้เป็นสาเหตุให้ผมใช้เวลาและความพยายามในวิทยาลัยที่จะ หล่อหลอมกลยุทธ์เหล่านี้ในทางซึ่งตระเตรียมสำหรับความท้าทายทางอาชีพที่จะมา ถึงของผม

ประสบการณ์ชีวิตของผม ก็เหมือนของคุณ  สร้างวิถีทางที่เรามองโลกรอบๆ ตัวเรา  และพูดง่ายๆ การถูกแบ่งแยก  ความสิ้นหวังและการพึ่งพิงอยู่กับคนอื่นเพื่อความสำเร็จของผมได้สร้างความ มุ่งมั่นที่จะเชื่อในตัวเองขึ้นมา  ถนนไปสู่วิทยาลัยเต็มไปด้วยภูเขามากมาย ผมจำเป็นต้องปีนป่าย  ผมค้นพบว่า นักเรียนโดยเฉลี่ยล้มกระแทกบนถนน  แต่การกระแทกของผมเหมือนชนภูเขาเอฟเวอเรสต์  มีใบเรียกเก็บเงินมามากกว่าเงินเสมอ  ความช่วยเหลือทางการเงินไม่เคยตรงเวลา  การสังเวยด้วยครอบครัวดูเหมือนจะเป็นหนทางแห่งชีวิต  และเมื่ออ่านหนังสือในเวลาว่างก็กลายเป็นเรื่องกล้ำกลืนสำหรับผม  ทั้งๆ ที่มีปัญหาเหล่านี้  ความปรารถนาที่จะประสบผลสำเร็จกลายเป็นเรื่องที่รุนแรงขึ้น

ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของการบรรลุผลสำเร็จของแต่ละคนเพียงคนเดียว  แต่ว่ามันเป็นการสะท้อนถึงความพยายามที่สะสมมาของบุคคลมากมายและเรื่องของผม ก็ไม่ได้แตกต่าง  ผมโชคดีอย่างยิ่งใหญ่ที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์มากมายในวิทยาลัยซึ่งยอมให้ผม ใช้อิสระในการคิดอย่างสร้างสรรค์ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียน รู้ตามแบบแผนได้บ้างและได้แสดงถึงความสามารถของผม  นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จนั้นและกลยุทธ์ที่ก่อให้เกิดขึ้น 

ผมอยากจะบอกคุณว่า นี่เป็นกระบวนการที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด  ต้องการเวลาและความพยายามของคุณเพียงเล็กน้อย ซึ่งคงจะเป็นเรื่องไม่จริงแน่  ผมไม่เชื่อว่า จะมีสิ่งใดมีคุณค่าเท่าการศึกษาในวิทยาลัยที่สามารถแก้ปัญหาได้รวดเร็ว  ผมหวังว่า ผมได้กระตุ้นความสนใจให้คุณกระตือรือร้นที่จะรู้ต่อไป  และที่สำคัญคือ การได้รู้ถึงกลยุทธ์การเรียนอย่างมีพลัง (Dynamic Learning)

ตัดตอนจาก “Learning Disabilities and College: Strategies for People that Rock Our World”
แปลและเรียบเรียงโดย พรรษชล ศรีอิสราพร

ภาพประกอบบทความหน้าต่าง LD

แบบประเมินคุณภาพสื่อ สสพ.

คุณพอใจกับคุณภาพสื่อข้างต้นมากน้อยเพียงใด
  • พอใจมาก0
  • พอใจ0
  • ปานกลาง0
  • ไม่พอใจ0
  • ไม่พอใจมาก0
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก