ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ครม.รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 27 พร้อมเดินหน้าหารือการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป

วันที่ลงข่าว: 29/04/21

          นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (27 เม.ย. 64) ได้รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM) ครั้งที่ 27 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ คือ เห็นชอบการขยายรายการสินค้าที่จำเป็นภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี และสินค้าจำเป็นภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนให้เข้มแข็ง ในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะไปหารือเพิ่มเติมเพื่อขยายการครอบคลุมสินค้าอาหารและเกษตร โดยเฉพาะอาหารหลักอย่างน้อย 200 รายการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อเอกชน พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน เร่งหารือการจัดทำความเห็นของอาเซียนต่อร่างกรอบกำหนดขอบเขตความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรป เพื่อใช้ประกอบการหารือกับฝ่ายยุโรปต่อไป ทั้งนี้ยังมีประเด็นที่อาเซียน-สหภาพยุโรป ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกัน เช่น การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พลังงานและวัตถุดิบ และการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการจัดประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

          นอกจากนี้ ยังรับทราบความคืบหน้าในการให้สัตยาบันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ของแต่ละประเทศ โดยที่ไทยเป็นประเทศแรกที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลง ทั้งนี้ที่ประชุมฯ ย้ำว่าการให้สัตยาบันจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่มีประเทศอาเซียน 6 ประเทศ และประเทศภาคีอื่น 3 ประเทศ ภายในเดือนตุลาคม 2564 เพื่อให้ความตกลงอาเซียนมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2565 สำหรับประเทศไทยรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับข้อตกลง เมื่อประเทศไทยได้ให้สัตยาบัน และข้อตกลงมีผลบังคับใช้ จะมีสินค้าประมาณ 40,000 รายการ ได้ประโยชน์โดยการลดภาษี ซึ่งจะมีสินค้าจำนวน 29,000 รายการ จากทั้งหมด 40,000 รายการ ได้รับการลดภาษีทันทีเหลือ 0% ในวันที่ 1 มกราคม 2565 ส่วนสินค้าที่เหลือจะทยอยลดภาษีภายใน 10 - 20 ปี ให้อัตราภาษีเป็น 0% ตามเงื่อนไขของแต่ละประเทศ สำหรับภาคบริการ ไทยจะได้รับสิทธิพิเศษสามารถเข้าไปถือหุ้นได้ถึงร้อยละ 70 - 80 ในสาขาบริการ การก่อสร้าง เป็นต้น

ที่มาของข่าว สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก