การหาสาเหตุของโรคออทิสซึ่มและโรคบุคลิกภาพแปรปรวนแบบต่อต้านสังคมภายในสมอง
ผู้เชี่ยวชาญได้เฝ้าสังเกตมาเป็นเวลานานว่า ทั้งผู้ป่วยโรคออทิสซึ่มและผู้ป่วยโรคบุคลิกภาพแปรปรวนนั้น จะมีปัญหาเรื่องความสามารถที่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น หากก็ยังคงไม่สามารถสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างสองโรคนี้ได้
ผู้ป่วยโรคออทิสซึ่มจะมีความวิตกกังวล และจะตีความหรือเข้าใจการสื่อสารด้วยภาษากายในทางที่ผิด แต่โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ป่วยโรคออทิสซึ่มจะไม่ทำร้ายใคร เพียงแต่มีบ่อยครั้งที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เท่านั้น ส่วนผู้ที่เป็นโรคบุคลิกภาพแปรปรวนแบบต่อต้านสังคม จะบังคับให้คนอื่นทำตามที่ตนต้องการและดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความกลัวเจืออยู่บ้าง อีกทั้งยังมีความสุขในการทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บปวดด้วย
จากการศึกษาวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้เน้นให้เห็นถึงความแตกต่างของสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของอาการออทิสติกและลักษณะเฉพาะของการต่อต้านสังคม และได้พบเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนที่ยังคงมีอยู่ตลอดพัฒนาการของเด็ก ผู้ทำการวิจัยได้จำลองภาพเยาวชนที่มีพัฒนาการตามปกติจำนวน 323 คน ซึ่งมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 11 ปี ผู้ปกครองของเด็กเป็นผู้ให้ระดับคะแนนของการมีลักษณะออทิสติกหรือลักษณะต่อต้านสังคม ยกตัวอย่างเช่นลักษณะของโรคออทิสซึ่ม อาจประกอบด้วย การ “มีปัญหาเมื่อต้องเข้ากลุ่ม” หรือ “ชอบอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กับเพื่อนๆ ” ตัวผู้ปกครองเอง ก็จะถูกร้องขอให้ระบุว่าอาการของลูกของตนนั้นตรงกับลักษณะใดที่สุด ส่วนตัวอย่างของพฤติกรรมต่อต่อต้านสังคม ก็ได้แก่ การ “พูดโกหกได้อย่างง่ายดาย ด้วยความชำนาญ” และการ “ทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา”
ผลปรากฏว่า ไม่มีเด็กคนใดมีลักษณะของโรคออทิสซึ่มและโรคบุคลิกภาพแปรปรวนแบบต่อต้านสังคมครบถ้วนตามเกณฑ์เลยสักราย ( ในผู้ป่วยเด็ก โรคอย่างหลัง มักเรียกกันว่า มีความประพฤติผิดปกติ ) และการวินิจฉัยโรคจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเด็กคนนั้นมีลักษณะของความผิดปกติที่ชัดเจนหลาย ๆ อย่าง ส่วนคนที่มีลักษณะผิดปกติน้อยกว่าหรือเบาบางกว่า ก็จะสามารถพบได้ในจำนวนผู้เข้าร่วมการวิจัยทั้งหมดเช่นเดียวกัน สำหรับผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการปรากฏชัดหรือภาวะคล้ายออทิสซึ่มในกลุ่มอาการของโรคออทิสซึ่ม ที่เรียกว่า ภาวะคล้ายออทิสซึ่ม — broader phenotype — ซึ่งรวมการมีปัญหาทางสังคมและการสื่อสารไว้ด้วยนั้น ดูเหมือนว่าความแตกต่างของสมองจะมีภาวะของความผิดปกติแบบสุดโต่ง น้อยกว่าที่พบในผู้ป่วยที่มีการวินิจฉัยโรคมาแล้ว
แม้ว่าลักษณะของทั้งสองโรคนี้ จะมีความสัมพันธ์กันอยู่ นั่นหมายความว่า คนที่มีลักษณะเป็นออทิสติก ก็มักจะมีนิสัยต่อต้านสังคมอยู่ด้วย สิ่งนี้อาจสะท้อนให้เห็นความจริงที่ว่า ทั้งสองโรคนี้ สามารถสร้างพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานของสังคม มากกว่าจะบอกว่าสองโรคนี้มีสาเหตุที่คล้ายคลึงกันอย่างแท้จริง
อันที่จริง ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ได้เขียนไว้ว่า “เห็นได้ชัดว่า บริเวณสมองส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะออทิสติกและลักษณะต่อต้านสังคม จะมีความแตกต่างกันของโครงสร้างอย่างชัดเจน จนอาจเรียกได้ว่าเป็น “ความแตกต่างอย่างน่าประหลาด” ( strikingly different ) ทีเดียว
เด็กที่มีลักษณะทางออทิสติกสูง มีเนื้อเยื่อสมองที่บาง (เนื้อเยื่อสมองน้อย) โดย เฉพาะบริเวณเหนือสมองกลีบขมับ และเปลือกนอกของกลีบสมองส่วน tempo -roparietal ซึ่งเป็นบริเวณที่เคยพบมาก่อนว่า จะมีขนาดเล็กกว่าปกติในคนที่เป็นออทิสติก สมองบริเวณดังกล่าว มีหน้าที่ในการประมวลข้อมูลที่เกี่ยวข้องทางสังคม โดยเฉพาะการมีความสามารถในการเข้าใจจิตใจของผู้อื่น และยอมรับในทัศนคติที่แตกต่าง แต่เด็กที่มีลักษณะต่อต้านสังคมในระดับสูง จะพบว่าเนื้อเยื่อสมองมีความบางในบริเวณด้านหน้าเปลือกนอกของกลีบหน้าผากส่วนหน้า ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีขนาดเล็กลงในผู้ป่วยโรคจิตที่เป็นผู้ใหญ่ สมองส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับเหตุผลทางศีลธรรม เราจะเห็นความบกพร่องของสมองส่วนนี้ได้อย่างชัดเจนในคนที่มีความสุขเมื่อได้บังคับกดขี่และทำร้ายผู้อื่น
แม้ว่าผลการวิจัยปัจจุบันจะพบว่า ความแตกต่างในพื้นที่ต่างๆ ของสมองดังกล่าวนี้จะยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงในขณะที่เด็กโตขึ้นแต่อย่างใด แต่ยังดีที่เป็นที่ทราบกันว่า เด็กหลายคนที่มารับการตรวจ และพบว่ามีลักษณะดังกล่าวข้างต้น สามารถเอาชนะความบกพร่องนี้ได้ และเด็กบางคน ยังเจริญเติบโตพ้นจากอาการผิดปกติที่มีการวินิจฉัยไว้ก่อนโดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่น ในการศึกษาวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ พบว่า เด็กออทิสติกที่มีความสามารถในการเรียนรู้ต่ำ จำนวนร้อยละ 10 จะ “เบ่งบาน” ( ตามวัยหนุ่มสาว ) ในช่วงวัยรุ่น และมีการพัฒนาจนเป็นผู้มีความสามารถในการเรียนรู้สูง นอกจากนี้ เด็กที่มีความสามารถในการเรียนรู้สูงหลายคน กลับมีการพัฒนาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่บางคนไม่หลงเหลืออาการผิดปกติอย่างที่เคยมีการวินิจฉัยไว้ก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
จำนวนร้อยละ 60 ของเด็กที่ตรวจพบว่ามีความประพฤติผิดปกติ จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่จะพัฒนาไปเป็นความแปรปรวนของบุคลิกภาพแบบต่อต้านสังคมเมื่อเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็นับว่ายังห่างไกลจากการก้าวไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายของกลุ่มอาการบุคลิกภาพแปรปรวนแบบต่อต้านสังคม ที่เรียกว่า โรคจิต หรือโรคต่อต้านสังคม
ผลการวิจัยใหม่นี้ ตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Neuroscience โดยกลุ่มนักวิจัยจากสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health)