“แนวคิดในการดำเนินชีวิต ตอน 1”
คุณยุทธพล กล่าวว่า ถึงปัจจุบันประกอบอาชีพอยู่ที่ เชียงใหม่ แต่ความจริงแล้วเป็นคนกรุงเทพฯ แถวคลองตัน เมื่อผมเกิดได้ 2 วันได้ย้ายมาอยู่บ้านคุณแม่ คืนนั้นที่บ้านไฟดับ คุณพ่อึจงจุดเทียนวางไว้ใกล้ ๆ ตัวผมกับแม่ แล้วพ่อก็ออกไปซื้อผลไม้มาขาย หลังจากพ่อออกไปสักพักเทียนที่จุดไว้ก็ล้มใส่ผ้ายางที่รองนอนทำให้ไฟลุกไหม้ส่งผลให้ถูกไฟลวกทั่วขาของผม และด้วยความเป็นห่วงของแม่ๆ ใช้แขนข้างขวาปัดไฟที่กำลังลุกไหม้ ทำให้แขนของแม่โดนไฟลวกไปด้วย ต่อจากนั้นต้องไปรักษาแผลที่ขาที่ถูกไฟไหม้ ต้องขอบคุณคุณยายที่คอยหมั่นมาดูแลหลานบินไปบินมาระหว่างเชียงใหม่ - กรุงเทพ ที่ทำให้การรักษาพยาบาลผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากนั้นคุณพ่อตัดสินใจย้ายครอบครัวขึ้นไปประกอบอาชีพที่จังหวัดเชียงใหม่
หลังจากที่พ่อมีน้องคนใหม่กับแม่เลี้ยง ทำให้พ่อเกิดความระแวงกลัวว่าตัวผมจะแกล้งน้องสาว เอาลูกอมมาให้กินทำให้ฝันผุ ซึ่งผมไม่คิดจะทำอยู่แล้ว ในความที่เป็นเด็กเมื่อรู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติ ถึงแม้จะเป็นลูกชายคนโตได้รับการดูแลแบบครอบครัวคนจีนไม่ได้รับการดูแลอย่างธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ตัวผมไม่ได้เห็นด้วยว่าลูกผู้ชายต้องเป็นใหญ่เพราะว่าไม่ยุติธรรมกับลูกสาว ผมมองสิ่งที่เท่าเทียมกันมากกว่า ผมถูกแม่เลี้ยงยุพ่อให้ตีผม รู้สึกว่าทำไมถึงเกลียดชังเราจังเหมือนเป็นกาลกิณีของบ้าน จนบางครั้งรู้สึกว่าไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้แล้ว ตอนประถม 4 เริ่มเก็บเงินเพื่อซื้อจักรยานคันแรกของตัวเอง วิธิเก็บเงินคือ ผมได้ค่าขนมไปกินที่โรงเรียน ผมเลือกกินข้าวกลางวันเท่านั้นไม่จ่ายค่าเดินทางและไม่กินขนม ด้วยบ้านและโรงเรียนอยู่ในเมืองจึงเดินไป – กลับทุกวัน จนรองเท้าพัง เมื่อรองเท้าพังโดนพ่อดุทำไมใช้รองเท้าเปลือง เก็บเงินได้ประมาณหนึ่งพันบาทจึงนำไปซื้อจักรยาน เมื่อบ้านไม่เป็นมิตรผมรีบตื่นออกจากบ้านตั้งแต่เช้าไปปั่นจักรยานรอบคูเมืองแล้วไปโรงเรียน ตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็ไม่รีบกลับ แต่จะกลับถึงบ้านประมาณ 5 – 6 โมงเย็น รู้สึกว่าที่บ้านไม่ได้ต้อนรับ ทำให้รู้สึกว่าอยู่ยากเหลือเกินการเป็นลูกของบ้านหลังนี้ เมื่อถึงจุดหนึ่งขณะที่เรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 2 จึงต้องหาทางออกด้วยการบวชเณรภาคฤดูร้อน และทุก ๆ ปิดเทอมกลับไปเยี่ยมคุณยาย และได้มีโอกาสคุยกันว่าอยากออกจากบ้านพ่อไปอยู่ที่อื่น จึงได้ไปอยู่กับคุณตา เมื่อเรียนอยู่ มัธยมศึกษาปีที่ 3 น้าได้แนะนำว่าว่าลูกผู้ชายต้องเรียนช่าง แต่ตัวผมเองไม่เคยคิดจะเรียนช่าง จึงต้องให้อาจารย์แนะแนวแนะนำว่าควรเรียนสายไหน ซึ่ง ณ เวลานั้นตามกระแสของตลาด สายพาณิชย์เป็นบัญชี สายช่างคือช่างยนต์ที่ได้รับความต้องการสูง จึงตัดสินใจเรียนช่างยนต์ ไปสอบและได้เรียนที่วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ แต่ด้วยความที่ขาซ้าย เล็ก ลีบ ทำให้มีข้อจำกัดหากต้องยกของหนัก
วิธีคิดของผมเอง คือ เมื่อปิดเทอมน่าจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองเพื่อให้มีรายได้ จึงคิดตอนที่อยู่ ปวช. 2 ไปรับจ้างที่ร้านไอศรีมสเวนเซ่นส์ จริงแล้วทางร้านอยากได้พนักงานเสิร์ฟ แต่ความจริงพบว่าขาไม่ดีจึงให้ไปอยู่หลังร้าน เพราะกลัวว่าตอนเสิร์ฟจะทำของเสียหาย ชีวิตการทำงานเริ่มต้นหาเงินด้วยตนเอง รู้สึกภูมิใจ ได้รับเงินสองพันบาท ถือเป็นการหารายได้เสริมของตัวเอง เมื่อเรียน ปวช. มีความจำเป็นต้องหางานในเขตเมือง เช่น ตามห้างสรรพสินค้า เป็นต้น สุดท้ายได้งานที่ร้านพิซซ่าฮัท ทางร้านขาดตำแหน่งปั่นแป้ง แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าเขารู้ว่าเป็นคนพิการ อาจจะไม่รับ ในช่วงที่ฝึกงานขาเทียมแตกบ่อยเนื่องจากงานค่อนข้างหนัก แต่เมื่อทำงานประจำรู้สึกอิ่มตัว ก่อนที่ตัดสินใจลาออก ขณะทำงานในตำแหน่งรองหัวหน้าคนครัว
... สามารถติดตามรับฟังรายการรวมใจเป็นหนึ่ง ได้ทางสถานีวิทยุศึกษา FM 92 MHz หรือ www.moeradiothai.net