การเป็นทนายความของคนตาบอด
คุณปราโมทย์ กล่าวว่า ศึกษาจบคณะนิติศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากเรียนจบได้เรียนเนติบัณฑิต และสอบตั๋วทนายจนสำเร็จ เดิมทำงานที่ ศูนย์กฎหมายตาทิพย์ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ตำแหน่งอนุกรรมการ ระหว่างศึกษาได้มีโอกาสเป็นวิทยากรให้กับศูนย์กฎหมาย ฯ ไปด้วย หลังจากได้ตั๋วทนายมาแล้วจึงมาสมัครเป็นเจ้าหน้าที่สมาคม ฯ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและทำคดีต่างๆ ยื่นคำร้อง คำฟ้องต่างๆ ตัวอย่าง เช่น สมาชิกมายื่นคำร้องให้ฟ้องรับรองบุตร คือเป็นบิดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของบุตร กำลังดำเนินการอยู่ และอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมเอกสารเพื่อยื่นคำร้องให้ศาล เป็นต้น
ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความน่าเชื่อถือ เพราะคิดว่า ผลงานคือเครื่องพิสูจน์คน ถ้าเราทำคดีชนะ หรือทำงานสำเร็จ สิ่งนี้จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเรา ผมไม่ได้มองว่าเป็นเด็กจะไม่น่าเชื่อถือ ผมมองว่าแม้เราเป็นเด็กแต่ถ้าเราชนะคดีเราก็มีความน่าเชื่อถือ ทัศนคติคนสามารถปรับได้โดยการแสดงให้เห็นว่าเราทำได้
การสอบใบอนุญาตว่าความของสภาทนายความ ต้องจบปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต หรืออนุปริญญาของมหาวิทยาลัยที่สภาทนายความเชื่อถือ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น โดยต้องไปสมัครสอบก่อน การสอบใบอนุญาตว่าความเริ่มจากการสอบภาคทฤษฎี โดยต้องเขียนคำฟ้อง คำร้อง คำให้การ ตามที่ข้อสอบกำหนด จากนั้นฝึกงานเป็นระยะเวลา 6 เดือน เมื่อฝึกงานเสร็จจะได้รับใบยืนยันนำไปสมัครสอบภาคปฏิบัติ โดยการสัมภาษณ์ เมื่อสอบผ่านจะได้ประกาศนียบัตรของสภาทนายความ นำไปจดทะเบียนทนายความ สภาทนายความจึงออกใบอนุญาตว่าความ ระยะเวลาทั้งหมดประมาณหนึ่งปี
ทิ้งท้าย โลกของเราเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีวิกฤตโรคระบาดหรือไม่ โรคระบาดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงให้เกิดเร็วขึ้น ควรพยายามหันมาใช้ออนไลน์ให้มากขึ้น ผลพวงจากโรคระบาดทำให้เราต้องเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงให้ทันโลก ไม่เช่นนั้นจะอยู่ในสังคมอย่างลำบาก ถ้าเปลี่ยนแปลงเร็วตามเทคโนโลยีให้ไวขึ้น ชีวิตเราจะอิสระมากขึ้น